. สัตว์ที่ถูกฝังในหิน (Animals encased in stone)
ชื่ออาจจะฟังดูสยองหน่อยนะครับ แต่เรื่องนี้เค้าก็จัดให้อยู่ในอันดับเรื่องแปลกและลึกลับอยู่เหมือนกัน ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ที่ถูกหินห่อหุ้มหรือถูกฝังอยู่ในหิน ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นในต้นไม้บ้าง หากว่าไปมันก็น่าประหลาดและแปลกอยู่นะครับ ว่าทำไมสัตว์เหล่านี้ถึงอยู่ถูกฝังอยู่ในเนื้อต้นไม้ ในดิน ในก้อนหินแล้วมีชีวิตรอดอยู่มาอย่างยาวนานภายใต้สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตอยู่แบบนั้นได้ ไม่เพียงเป็นสิบหรือร้อยปี แต่บางทีอาจจะเป็นแสนหรือล้านปีก็เป็นได้ แล้วมันไปทำอะไรอยู่ในนั้น จะว่าถูกหินดินทับหรือสัตว์เหล่านั้นขุดและมุดลงไปเอง มันก็น่าแปลกใจและไม่น่าเป็นไปได้อ่ะนะครับ ก็ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่เหตุผลหรือทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปมากล่าวกันลำบากอยู่พอดูนะเนี่ย
ชมตัวอย่างรายงานการพบเจอกันซักเล็กน้อยดีกว่าครับ
ค.ศ.1761 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกถูกฝังอยู่ในก้อนหิน
ค.ศ.1818 นักธรณีวิทยาอเมริกัน 2 คนได้ขุดพบกบถูกฝังอยู่ในชั้นหินที่มีอายุมากกว่า 6,000 ปี
ค.ศ.1821 นาย David Virtue ขุดพบกิ้งก่าฝังอยู่ในชั้นหินลึกราว 22 ฟุต ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจ้ากิ้งก่าก็สามารถขยับและเคลื่อนไหวได้
ค.ศ.1856 สำหรับเรื่องนี้หลายคนก็อาจจะทราบกันดี เพราะโด่งดังพอดู มืออสูรฯ ก็เคยนำไปเขียนถึงครับ คือมีการขุดอุโมงค์เพื่อทำทางรถไฟใต้ดินของประเทศฝรั่งเศส แล้วบังเอิญขุดเจอสัตว์โบราณประเภท เทโรซอร์ (Pterosaur) หรือเทราโนดอน (Pteranodon) เข้า ซึ่งหลังจากขุดเจอเพียงไม่กี่นาที เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็เริ่มขยับตัวขึ้นอีกครั้งครับ แต่อยู่ได้เพียงไม่นานมันก็ร้องออกมาแล้วขาดใจตายไป โอ้ น่าเสียดายอยู่นะครับเนี่ย
ค.ศ.1865 หนังสือ Hartlepool Free Press ของอเมริกาได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกโบราณที่ถูกฝังอยู่ในโพรงชั้นหินปูนลึกจากพื้น 24 ฟุต จากการตรวจสอบแล้วประมาณกันว่ามันมีอายุราวพันกว่าปีมาแล้ว
ค.ศ.1876 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของแอฟริกาใต้ได้รายงานการพบ คางคกถึง 62 ตัว ถูกฝังอยู่ในโพรงต้นไม้ อายุไม่ต่ำกว่า 30-50 ปี เป็นอย่างน้อย
เอาเท่านี้ก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวจะกลายเป็นรายการสารคดีไปซะก่อน ข้อมูลอาจจะเก่าไปนิดนึง ไม่ว่ากันเน้อ อิอิ ตัวอย่างสัตว์ที่ยกมานี่เหมือนถูกสตัฟฟ์ไว้ในหินชั่วคราว โดยฝีมือของกาลเวลายังไงยังงั้นเลยซิครับ แต่ทุกตัวต่างก็ฟื้นขึ้นมาและมีชีวิตอยู่ต่อได้สบายบรื๋อ บางตัวก็อยู่รอดมาได้อีกเป็นปีหรือหลายปี แต่บางตัวไม่นานก็ตายครับ อะไรทำให้สัตว์เหล่านั้นมีชีวิตในสภาพจำศีลอยู่มาได้นานถึงขนาดนั้น คำถามนี้ยังคาใจนักวิทยาศาสตร์มานาน อาจจะเป็นกลไกการป้อนกันตัวเอง พลังปราณชีวิต พลังในการบังคับร่างกายของตัวสัตว์เองหรือเปล่า บางที…วันหนึ่งข้างหน้าคำตอบที่เรารอคอยอาจจะมาถึงก็ได้ครับ
นับว่าเป็นอะไรที่ไม่ธรรมดาอยู่เหมือนกันนะครับ
สำหรับบรรดาสัตว์ที่สามารถอยู่รอดมาได้นานนับสิบปีจนไปถึงหลายร้อยพันปีไปโน่น ความลับของการมีชีวิตมาอย่างยืนยาวภายใต้สภาวะจำศีลแบบนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วถ้ามีการค้นพบปัจจัยหรือวิธีที่ทำให้สัตว์เหล่านี้สามารถอาศัยและมีชีวิตรอดมาได้จากสภาพแบบนั้น ความฝันในการมีชีวิตที่ยืนยาวหรือการเป็นอมตะของมนุษย์ก็อาจจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมก็เป็นได้ครับ ก็เล่าสู่กันฟังมาพอสมควร พอให้รู้จักกันนิดหน่อย สำหรับอันดับแรกก็คงเอาไว้แค่นี้ดีกว่าครับ ไม่เยิ่นเย้อดี เอ้า เราไปชมอันดับต่อไปกันเลยดีกว่า ^_^
2. แคทเทิล มิวทิเลชั่น (Cattle Mutilations)
แหม สำหรับอันดับนี้คงแทบจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงอะไรมากเลยมั๊งครับเนี่ย แฟนนานุแฟน Myth ก็คงจะทราบกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ชมกันนิดหน่อยก็น่าจะโอเคน่า หรือคุณคิดว่าไงครับ ? คงไม่ว่านายโอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนนาครับ
ถ้าหากจะนับย้อนไปถึงครั้งแรกๆ ที่มีการรายงานกันเรื่องแคทเทิล มิวทิเลชั่นแล้ว ก็คงจะต้องย้อนกลับไปเมื่อราวปี ค.ศ.1950 ครับ สำหรับประเทศแรกที่มีการรายงานในลักษณะนี้ออกมา ก็คงจะไม่พ้นประเทศอเมริกาครับ ที่รัฐแคนซัส (Kansas) และมินเนโซต้า (Minnesota) โดยจากการรายงานค้นพบบรรดาซากสัตว์ที่ถูกชำแหละโดยวิธีปริศนาที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งสาเหตุที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะ ดูแล้วมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่น่าหรือไม่คิดว่าจะกระทำได้น่ะซิครับ
และปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่ว่าส่วนใหญ่มันมักจะเกิดในช่วงข้ามคืนหรือตอนกลางคืนที่บรรดาชาวไร่ ชาวนาหลับอุตุกันอยู่เสียด้วยซิ อะไรมันจะลึกลับขนาดนั้นครับท่านผู้ชม
ลักษณะของสัตว์ที่โดนตัดเอาอวัยวะไป ฝีมือหรือวิธีนี่ยอดเยี่ยมทีเดียวครับ
ปรากฏการณ์แคทเทิล มิวทิเลชั่น คืออะไร?
ครับ มันก็คือการที่สัตว์เลี้ยงเช่น วัว แพะ แกะ ถูกฆ่าและโดนตัดเอาอวัยวะสำคัญบางส่วนไป โดยใช้วิธีการหรือเครื่องมือที่ทันสมัยและล้ำหน้าเอามากๆ เสียด้วยซิครับ ที่ว่าอย่างนี้ก็เพราะว่าซากของสัตว์ที่โชคร้ายนั้น รอยในการตัดหรือชำแหละนั้นจะบางเรียบเฉียบคม เรียกว่าถ้าหากเป็นหมอละก็ไม่ต้องลงมีดซ้ำกันเลย เพราะความแม่นยำสูงและฝีมือดีมากทีเดียว ที่สำคัญรอยในเลือดตัวหรือรอยที่ถูกตัดของสัตว์แทบทุกตัวนั้นจะไม่มีเหลือเลยซักหยดเดียวครับ แล้วเลือดหายไปไหนหมดละ ? ก็นั่นน่ะซิ นายโอก็อยากรู้เหมือนกันครับ แต่ได้มีหัวข้อสันนิษฐานกันที่หลายคนยอมรับและเห็นตรงกันเรื่องนึง ว่าเนื้อของสัตว์เหล่านั้นโดนตัดออกไปด้วยเลเซอร์อย่างแน่นอน ไม่น่าจะเป็นอื่นไปได้ และไม่ใช่เลเซอร์แบบกระจอกๆ นะครับ แต่เข้าขั้นคุณภาพดีมากเลยทีเดียวครับ แล้วใครล่ะครับที่พกอุปกรณ์แบบเลเซอร์เพื่อนำไปตัดอวัยวะสัตว์ออกมาเล่นๆ ในตอนกลางคืน ? คงไม่ใช่คุณหรือนายโอแน่ครับ หุ หุ