พลังงานในรูปแบบของข้อมูลจำนวนมหาศาลที่กระจายไปทั่วจักรวาล เป็นองค์ความรู้รวมที่บอกถึงความเป็นมาของจักรวาลทั้งหมด เช่น เหตุแห่งการกำหนดเกิดขึ้นของสิ่งต่างๆ ความเปลี่ยนแปลงของระบบจักรวาลในอดีตที่ผ่านมา หรือสามารถใช้วิเคราะห์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ที่ตามหลักของพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เพราะอาศัยเหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมาลอยๆ จักรวาลและสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกก็เช่นเดียวกัน ล้วนมีเหตุแห่งการเกิดขึ้น ดำเนินไป และท้ายสุดก็สูญสลายตามวัฏจักร
ข้อมูลแห่งจักรวาลนี้ มนุษย์สามารถรับได้โดยการนั่งสมาธิ ให้ได้ถึงระดับหนึ่ง เพื่อให้จิตว่างจากความคิดต่างๆ จิตนิ่งรวมเป็นจุดเดียว เพื่อเป็นการสร้างสนามพลังบางส่วนในการรรับสัญญาณข้อมูลองค์ความรู้ต่างๆ ของจักรวาลเข้ามาในสมอง
จะรู้ได้อย่างไรว่าจิตของเราเริ่มรับข้อมูลได้ สิ่งที่สังเกตได้ไม่ยากคือ ในช่วงที่จิตเราเริ่มเข้าสู่สมาธิเล็กน้อย บริเวณหน้ากลางผากหรือตามใบหน้าจะมีการกระตุกเบาๆ อย่างต่อเนื่อง เป็นลักษณะที่บอกได้ว่าจิตของเราเริ่มมีการรับสัญญาณได้บ้างแล้ว(บางคนจะเป็นอาการอื่นแทนหรือบางคนอาจไม่เกิดขึ้นเลย) เพราะใช้กำลังของสมาธิเพียงเล็กน้อย ก็สามารถรับได้แล้ว แต่ทว่าถึงรับมาได้ก็ไม่สามารถตีความหมายของข้อมูลที่รับมาได้ จำเป็นต้องใช้พลังของสมาธิที่มากขึ้นเพื่อใช้ในการตีความหมายข้อมูลที่ได้รับมาว่าข้อมูลที่รับมาได้นั้นคืออะไร
ถ้าจะถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลเข้ามาในสมองของเราแล้ว คำตอบก็คือ เมื่อใดที่เราสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆที่สงสัยได้ โดยปกติที่เราไม่เคยรู้คำตอบของมันมาก่อนเลย แต่กลับรู้คำตอบได้ด้วยตนเองจากการนั่งสมาธินั้นคืออีกจุดสังเกตง่ายๆ เช่น ความเข้าใจในเรื่องของธรรมะต่างๆ ที่ได้คำตอบมาจากการนั่งสมาธิ
ส่วนอีกข้อมูลระดับหนึ่งเป็นข้อมูลที่มีองค์ความรู้ละเอียดมากขึ้น คือเป็นข้อมูลบางอย่างที่เราไม่เคยรับรู้มาก่อนเลย แต่กลับรับรู้และเข้าใจความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ได้แบบฉับพลันหรือทยอยเข้ามา เช่น รู้ว่าภพแต่ละภพเกิดขึ้นได้อย่างไรตามหลักของวิทยาศาสตร์ และจะสามารถเดินทางไปยังมิติอื่นๆได้อย่างไร การเข้าใจในเรื่องของมิติกาลเวลา การเกิดโลกและจักรวาล มิติจักรวาลคู่ขนาน เหตุแห่งการกำเนิดพลังในรูปแบบต่างๆ วัฏจักรแห่งจักรวาล ฯลฯ นั่นก็คือความรู้แจ้งแห่งสัจจะธรรม ซึ่งแต่ละคนสามารถรับได้มากน้อยแตกต่างกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับกำลังสมาธิ และปัญญาที่สั่งสมมา